Hello everyone
Last weekend, the rain began to fall in Phuket, lightly at first, but soon, the drizzle turned into an unrelenting downpour. The skies remained heavy, and for nearly 24 hours each day, rain poured from the heavens. Streets turned into rivers, and the relentless battering of water on roofs made the island's residents uneasy. Everyone began to worry about the flooding, a fear that had grown all too familiar in recent years.
Phuket, once covered in lush forests and rolling green hills, had changed. In many areas, particularly in the mountains, forests had been cleared. Towering trees and thick underbrush were replaced with sleek resorts, luxurious hotels, and elegant pool villas—built to cater to wealthy foreign customers seeking a slice of tropical paradise. But the land, stripped bare of its natural defenses, could no longer cope with the onslaught of heavy rains.
The destruction became evident as the rains continued to pound the island. Without the roots of trees to anchor the soil, landslides became a constant threat. Mud and debris cascaded down hillsides, burying roads and cutting off villages. Flash floods swept through streets, pulling away anything in their path.
Phuket was not alone in its suffering. Across Thailand, other regions faced the same dire circumstances. In the North and the Northeast, provinces bordering the mighty Mekong River were facing their own battles. The river had risen beyond its banks, and with the continuous downpour, it showed no signs of receding. Villages were submerged, farmlands were destroyed, and homes were lost in the rising waters. The scale of the damage was overwhelming, and the people could do little but wait for the floodwaters to recede.
As the days went by, the rain showed signs of easing. But the damage had been done. From the landslides in Phuket to the major flooding in the provinces along the Mekong, the destruction was widespread, and the consequences of human intervention on the land became clear. What was once a tropical paradise was now a reminder that nature, when pushed too far, always finds a way to reclaim its own.
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ภูเก็ต ฝนเริ่มตกเล็กน้อยในช่วงแรก แต่ไม่นาน ฝนก็ตกหนักต่อเนื่อง ท้องฟ้ายังคงหนักหน่วง และเกือบ 24 ชั่วโมงในแต่ละวันมีฝนตกลงมาจากสวรรค์ ถนนกลายเป็นแม่น้ำ และน้ำที่สาดใส่หลังคาอย่างไม่หยุดยั้งทำให้ชาวเกาะไม่สบายใจ ทุกคนเริ่มกังวลเกี่ยวกับน้ำท่วม ซึ่งเป็นความกลัวที่คุ้นเคยกันดีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ภูเก็ตซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกคลุมไปด้วยป่าเขียวชอุ่มและเนินเขาเขียวขจีได้เปลี่ยนไปแล้ว ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะบนภูเขา ป่าไม้ได้รับการแผ้วถาง ต้นไม้สูงตระหง่านและพุ่มไม้หนาทึบถูกแทนที่ด้วยรีสอร์ททันสมัย โรงแรมหรู และพูลวิลล่าหรูหรา สร้างขึ้นเพื่อรองรับลูกค้าชาวต่างชาติที่ร่ำรวยที่กำลังมองหาสวรรค์เขตร้อน แต่แผ่นดินซึ่งไม่มีแนวป้องกันตามธรรมชาติก็ไม่สามารถรับมือกับฝนที่ตกหนักได้อีกต่อไป
การทำลายล้างปรากฏชัดเมื่อฝนยังคงกระหน่ำเกาะอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีรากต้นไม้มายึดดิน แผ่นดินถล่มก็กลายเป็นภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง โคลนและเศษซากตกลงมาตามไหล่เขา ฝังถนนและตัดหมู่บ้าน น้ำท่วมฉับพลันพัดไปตามถนน ดึงทุกสิ่งที่ขวางทางออกไป
ภูเก็ตไม่ได้อยู่คนเดียวที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ทั่วทั้งประเทศไทย ภูมิภาคอื่นๆ เผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายเช่นเดียวกัน ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดที่อยู่ติดกับแม่น้ำโขงอันยิ่งใหญ่กำลังเผชิญกับการต่อสู้ของตนเอง แม่น้ำได้เพิ่มสูงขึ้นจนเกินตลิ่ง และด้วยฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ปรากฏสัญญาณของการลดลง หมู่บ้านจมอยู่ใต้น้ำ พื้นที่เพาะปลูกถูกทำลาย และบ้านเรือนสูญหายไปในกระแสน้ำที่เพิ่มขึ้น ความเสียหายมีมากมายมหาศาล และประชาชนทำได้เพียงเล็กน้อยแต่รอให้น้ำท่วมลดลง
หลายวันผ่านไป ฝนก็เริ่มผ่อนคลายลง แต่ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว ตั้งแต่ดินถล่มในภูเก็ตไปจนถึงน้ำท่วมใหญ่ในจังหวัดริมแม่น้ำโขง การทำลายล้างลุกลามเป็นวงกว้าง และผลที่ตามมาจากการแทรกแซงของมนุษย์บนแผ่นดินก็ชัดเจน สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสวรรค์เขตร้อนตอนนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าเมื่อธรรมชาติถูกผลักไสมากเกินไป มักจะพบหนทางที่จะฟื้นฟูตัวเองอยู่เสมอ
At around 6:15 a.m., the soft glow of dawn was hidden behind thick clouds as the sound of rain drummed steadily against the windows. It was time to take my son to school. On most days, if the weather was kind, I would hop onto my motorcycle and make the quick ride to the school nearby. The ride, though short, was a peaceful part of the routine—wind rushing by, and my son perched happily behind me.
But this morning was different. Rain came down in heavy sheets, blurring the world outside. The road, usually clear, was now glistening and slick, puddles forming in every dip and hollow. I hesitated for a moment, knowing the motorcycle ride wasn’t an option today. Safety came first. With a sigh, I grabbed my car keys, calling for my son to hurry as they dashed through the rain to the car.
As I drove slowly through the downpour, the wipers working hard against the torrent, I glanced at my son in the backseat. He was watching the rain with wide eyes, the rhythmic pattern soothing in its own way. Despite the weather’s inconvenience, there was something calming about the world in the rain—how everything slowed down as if time itself was holding its breath.
The school soon came into view, and I pulled into the lot, carefully maneuvering through the rain-soaked roads. I smiled at my son as he hopped out of the car, ready to face the day, rain or shine.
เมื่อเวลาประมาณ 6:15 น. แสงยามเช้าอันนุ่มนวลถูกซ่อนอยู่หลังเมฆหนาทึบ ขณะที่เสียงฝนที่ดังกระทบหน้าต่างอย่างต่อเนื่อง ถึงเวลาพาลูกชายไปโรงเรียนแล้ว เกือบทุกวัน ถ้าอากาศดี ฉันจะกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วรีบขับไปโรงเรียนใกล้ๆ แม้ว่าการเดินทางจะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรที่สงบสุข มีลมพัดผ่าน และลูกชายของฉันก็เกาะอยู่ข้างหลังฉันอย่างมีความสุข
แต่เช้านี้แตกต่างออกไป ฝนตกลงมาเป็นแผ่นหนา ทำให้โลกภายนอกเบลอ ถนนที่ปกติจะโล่ง ตอนนี้ก็แวววาวและลื่นไหล มีแอ่งน้ำก่อตัวในทุกซอกทุกมุม ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง โดยรู้ว่าวันนี้การขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ใช่ทางเลือก ความปลอดภัยต้องมาก่อน ฉันหยิบกุญแจรถขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ เรียกให้ลูกชายรีบฝ่าสายฝนไปที่รถ
ขณะที่ฉันขับรถท่ามกลางสายฝนอย่างช้าๆ และที่ปัดน้ำฝนทำงานหนักเพื่อต้านกระแสน้ำ ฉันเหลือบมองลูกชายของฉันที่อยู่เบาะหลัง เขาเฝ้ามองสายฝนด้วยดวงตาเบิกกว้าง รูปแบบจังหวะที่ผ่อนคลายในแบบของมันเอง แม้ว่าสภาพอากาศจะไม่เอื้ออำนวย แต่ก็มีบางสิ่งที่ทำให้โลกสงบลงท่ามกลางสายฝน—ทุกอย่างช้าลงราวกับว่าเวลากำลังกลั้นหายใจ
ไม่ช้าก็มองเห็นโรงเรียน และฉันก็เข้าไปในบริเวณนั้น โดยค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามถนนที่มีฝนตกชุก ฉันยิ้มให้ลูกชายขณะที่เขากระโดดลงจากรถ เพื่อเตรียมพร้อมเผชิญแสงแดด ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดออก
The only thing I like about the rainy season is the rain that helps the trees and flowers I grow grow beautifully. Rainwater is water that has nutrients suitable for plant growth because it contains nitrogen which is important for plants. It can be observed that trees that are soaked in rainwater grow quickly and have strong trunks, branches, and leaves.
When I first bought my house, the thought of having my flower garden filled me with excitement. I was a flower lover at heart, and the garden became my canvas. Every weekend, I visited the local plant shop, selecting vibrant flowers to bring home. My garden quickly became a living masterpiece, bursting with color—roses, lilies, daisies, and orchids all competing to bloom, showing off their beauty in every corner.
For a while, it was perfect. I would spend my mornings in the garden, marveling at the vibrant petals and the sweet fragrance that filled the air. But soon, things began to change. The flowers I had so carefully planted and nurtured started to wither. Their once bright petals faded, and no matter how hard I worked, they began to die. I fertilized, tilled the soil, and adjusted the watering schedule, but nothing seemed to bring them back to their former glory. It felt as though the magic of those first blooms had slipped through my fingers.
ตอนที่ฉันซื้อบ้านครั้งแรก ความคิดอยากมีสวนดอกไม้ทำให้ฉันตื่นเต้นมาก ฉันเป็นคนรักดอกไม้โดยหัวใจ และสวนก็กลายเป็นผืนผ้าใบของฉัน ทุกสุดสัปดาห์ ฉันจะไปเยี่ยมชมร้านขายต้นไม้ในท้องถิ่น เลือกดอกไม้สีสันสดใสเพื่อนำกลับบ้าน สวนของฉันกลายเป็นผลงานชิ้นเอกที่มีชีวิตอย่างรวดเร็ว เต็มไปด้วยสีสัน ไม่ว่าจะเป็นดอกกุหลาบ ดอกลิลลี่ ดอกเดซี่ และกล้วยไม้ต่างแข่งกันเบ่งบาน อวดความงามในทุกมุมถนน
สักพักมันก็สมบูรณ์แบบ ฉันจะใช้เวลาช่วงเช้าในสวน ตื่นตาตื่นใจกับกลีบดอกไม้ที่มีชีวิตชีวาและกลิ่นหอมอันหอมหวานที่อบอวลไปในอากาศ แต่ไม่นาน สิ่งต่างๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป ดอกไม้ที่ฉันปลูกและดูแลอย่างระมัดระวังเริ่มเหี่ยวเฉาไป กลีบดอกไม้ที่สดใสของพวกเขาร่วงหล่น และไม่ว่าฉันจะทำงานหนักแค่ไหน พวกมันก็เริ่มตาย ฉันใส่ปุ๋ย ไถพรวนดิน และปรับตารางการรดน้ำ แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนำพวกเขากลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีตได้ รู้สึกราวกับว่าความมหัศจรรย์ของดอกไม้บานแรกๆ เหล่านั้นได้เล็ดลอดผ่านนิ้วของฉันไปแล้ว
ท้อแท้ฉันรู้ว่ามันไม่ได้ผล แต่ความรักในการทำสวนของฉันไม่ได้ลดลง ฉันเลือกที่จะปรับตัวแทน ฉันเริ่มอ่านเกี่ยวกับพืชประเภทต่างๆ ที่มีความแข็งแรงทนทาน ฟื้นตัวได้ และสามารถเจริญเติบโตได้ในทุกสภาวะ ฉันค่อยๆ เปลี่ยนดอกไม้ที่บอบบางเป็นไม้ประดับที่แข็งแรง เฟิร์น พืชอวบน้ำ และพุ่มไม้ที่แข็งแรงหยั่งรากในสวนของฉัน สีสันดูจางลง บานน้อยลง แต่สวนของเธอกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง คราวนี้มีต้นไม้ที่ดูเหมือนจะเจริญเติบโตได้โดยไม่คำนึงถึงสภาพอากาศ
การเปลี่ยนแปลงสอนฉันบางสิ่งที่สำคัญ: ความงามไม่ได้มาในรูปแบบของกลีบดอกไม้ที่สดใสและดอกไม้ที่ละเอียดอ่อนเสมอไป บางครั้งมันขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นของพืชที่สามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลได้ และในสวนใหม่นี้ ฉันได้พบความงามที่แตกต่างออกไป—ความงามที่ไม่เพียงเติบโตในต้นไม้ของฉันเท่านั้น แต่ยังเติบโตภายในตัวฉันด้วย
Disheartened, I realized it wasn’t working. Yet, my love for gardening didn’t wane. Instead, I chose to adapt. I began reading about different types of plants—those that were hardy, resilient, and could thrive in any condition. Slowly, I replaced the delicate flowers with sturdy ornamental plants. Ferns, succulents, and hardy shrubs took root in my garden. The colors were more subtle, the blooms less showy, but her garden was alive again, this time with plants that seemed to thrive regardless of the weather.
The transformation taught me something important: beauty doesn’t always come in the form of bright petals and delicate blooms. Sometimes, it’s in the strength and quiet resilience of plants that can withstand the changing seasons. And in this new garden, I found a different kind of beauty—one that grew not just in my plants, but within my as well.
When I first planted the lotus in my garden, its delicate blooms had been a source of pride and joy. But recently, I had watched as the once-thriving plant began to wither, its leaves shrinking and the blooms fading before my eyes. It seemed as though the lotus was dying, and my heart sank with the thought of losing it.
Determined to save it, I sought out the solution. I carefully prepared new clay for the pot, mixed in fertilizer, and gently nurtured the roots of the lotus, hoping to give it the strength it needed to thrive once more. Day by day, I watched the plant closely, watering it, and making sure the soil was just right.
To my delight, the lotus responded to my care. Slowly but surely, its leaves grew larger, their bright green color returning, and the once-fragile plant stood strong again. Soon, tiny buds began to form, promising new blooms. My heart swelled with happiness as the lotus started to come back to life, beautiful once more, ready to bloom and fill my garden with grace.
For me, the happiness of a flower grower wasn’t just in planting seeds or watching them sprout—it was in the care, the patience, and the joy of seeing my flowers bloom, especially those I had saved. Now, as I looked at the lotus, its big leaves spreading wide and buds waiting to open, I smiled, knowing that soon it would bloom again, just like before. The flower was me reminder that with love and effort, beauty could be restored, and that was the greatest reward of all.
เมื่อฉันปลูกดอกบัวในสวนของฉันครั้งแรก ดอกที่บานสะพรั่งของดอกบัวนั้นเป็นแหล่งของความภาคภูมิใจและความสุข แต่เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้เฝ้าดูต้นไม้ที่เคยเจริญรุ่งเรืองเริ่มเหี่ยวเฉา ใบของมันหดตัว และดอกร่วงโรยต่อหน้าต่อตาฉัน ดูเหมือนดอกบัวกำลังจะตาย และใจของฉันก็จมอยู่กับความคิดที่จะสูญเสียมันไป
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะบันทึกมัน ฉันจึงค้นหาวิธีแก้ไข ฉันเตรียมดินเหนียวใหม่สำหรับกระถางอย่างระมัดระวัง ผสมปุ๋ย และค่อยๆ บำรุงรากของดอกบัว โดยหวังว่าจะทำให้มีความแข็งแรงที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตอีกครั้ง วันแล้ววันเล่า ฉันเฝ้าดูต้นไม้อย่างใกล้ชิด รดน้ำ และตรวจดูให้แน่ใจว่าดินเหมาะสม
ดอกบัวตอบรับความเอาใจใส่ของฉันด้วยความยินดี ใบไม้ของมันก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ แต่แน่นอน สีเขียวสดใสกลับมาอีกครั้ง และต้นไม้ที่ครั้งหนึ่งเคยเปราะบางก็กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ไม่นานนัก ดอกตูมเล็กๆ ก็เริ่มก่อตัว คาดว่าจะออกดอกใหม่ ใจฉันพองโตเป็นสุข เมื่อดอกบัวเริ่มกลับมามีชีวิต สวยงามอีกครั้ง พร้อมเบ่งบาน เติมเต็มสวนของฉันด้วยความสง่างาม
สำหรับฉัน ความสุขของผู้ปลูกดอกไม้ไม่ใช่แค่การเพาะเมล็ดหรือเฝ้าดูมันงอกเท่านั้น แต่ยังอยู่ในความดูแล ความอดทน และความสุขที่ได้เห็นดอกไม้ของฉันบาน โดยเฉพาะดอกไม้ที่ฉันช่วยชีวิตไว้ บัดนี้เมื่อข้าพเจ้ามองดูดอกบัว ใบใหญ่ของมันแผ่กว้างและมีดอกตูมรอที่จะผลิบาน ข้าพเจ้าก็ยิ้มโดยรู้ว่าอีกไม่นานก็จะบานอีกครั้งเหมือนเมื่อก่อน ดอกไม้เป็นสิ่งเตือนใจฉันว่าด้วยความรักและความพยายาม ความงามสามารถกลับคืนมาได้ และนั่นคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
Over time, my once vibrant flower garden had changed. Where there had once been an array of colorful blossoms, only a few types of flowers remained. The lotus, with its graceful blooms that seemed to float effortlessly above the water, had become one of the lasting symbols of resilience in my garden. Alongside it, the Zephyranthes sp.—often called rain lilies—stood tall, their delicate petals gently swaying in the breeze, needing little attention yet flourishing all the same.
Gone were the finicky flowers that demanded constant care, replaced now with plants that seemed to thrive in simplicity. I had embraced this new phase of my garden, focusing on the beauty of plants that grew with ease. Among them were the ornamental Elephant Ears, their large, lush green leaves adding an exotic charm to the space. They, too, were undemanding, content with just a bit of sunlight and water, yet growing vigorously.
My garden had become a place of peace, no longer a battleground to keep delicate flowers alive. Instead, it thrived quietly, with plants that needed little but gave much in return. The garden now reflected a deeper understanding—sometimes, simplicity brings the most joy.
เมื่อเวลาผ่านไป สวนดอกไม้ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตชีวาของฉันก็เปลี่ยนไป ครั้งหนึ่งเคยมีดอกไม้หลากสีสันมากมาย เหลือเพียงดอกไม้เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ดอกบัวซึ่งมีดอกบานสวยงามราวกับลอยอยู่เหนือน้ำได้อย่างง่ายดาย ได้กลายมาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งความยืดหยุ่นที่ยั่งยืนในสวนของฉัน ด้านข้างของดอก Zephyranthes sp.—ที่มักเรียกว่าดอกลิลลี่ฝน—ยืนสูง กลีบดอกอันละเอียดอ่อนของพวกมันพลิ้วไหวไปตามสายลม ไม่ต้องการความสนใจเพียงเล็กน้อยแต่ก็เบ่งบานเหมือนเดิม
หมดสิ้นไปแล้วกับดอกไม้จู้จี้จุกจิกที่ต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยพืชที่ดูเหมือนจะเจริญเติบโตได้อย่างเรียบง่าย ฉันเปิดรับช่วงใหม่ของสวนของฉัน โดยเน้นไปที่ความงามของพืชที่เติบโตได้อย่างง่ายดาย หนึ่งในนั้นคือหูช้างประดับ ซึ่งเป็นใบสีเขียวขนาดใหญ่ที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์แปลกตาให้กับพื้นที่นี้ พวกเขาก็เป็นคนไม่ต้องการมากเช่นกัน โดยพอใจกับแสงอาทิตย์และน้ำเพียงน้อยนิด แต่ก็เติบโตอย่างแข็งแรง
สวนของฉันกลายเป็นสถานที่แห่งความสงบสุข ไม่ใช่สนามรบเพื่อรักษาดอกไม้อันละเอียดอ่อนให้คงอยู่อีกต่อไป กลับเติบโตอย่างเงียบๆ ด้วยพืชที่ต้องการน้อยแต่ให้ผลตอบแทนมาก ตอนนี้สวนสะท้อนถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น—บางครั้งความเรียบง่ายนำมาซึ่งความสุขมากที่สุด
By 4 p.m., the rain was still falling as I made my way to pick up my son from school. The sky remained overcast, the roads slick with water, and the windshield wipers worked tirelessly against the steady drizzle. I wondered if the rain would ever let up, hoping the journey back wouldn’t be too difficult.
As I approached the school, something miraculous happened. The rain, which had seemed endless, began to ease, and by the time I arrived, it had stopped entirely. The timing couldn’t have been better. It was the moment when students were pouring out of the school, ready to head home. I watched as my son ran toward the car, his backpack bouncing as he smiled, grateful that they wouldn’t have to rush through the rain.
Had the rain continued, the journey home would have been challenging, the roads slick and visibility low. But in that brief pause, the world seemed a little brighter. I was thankful for the break in the weather, and as they drove home together, I couldn’t help but feel a sense of relief. Today, at least, they were spared from the storm.
เมื่อถึงเวลา 16.00 น. ฝนยังคงตกอยู่ในขณะที่ฉันเดินไปรับลูกชายจากโรงเรียน ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม ถนนมีน้ำเลอะเทอะ และที่ปัดน้ำฝนก็ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อต้านทานละอองฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ฉันสงสัยว่าฝนจะซาลงไหม หวังว่าการเดินทางกลับจะไม่ลำบากเกินไป
ขณะที่ฉันเข้าใกล้โรงเรียน มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้น ฝนที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุดเริ่มซาลง และเมื่อฉันมาถึง ฝนก็หยุดตกโดยสิ้นเชิง เวลาไม่สามารถดีกว่านี้ได้ เป็นช่วงเวลาที่นักเรียนหลั่งไหลออกจากโรงเรียนเตรียมตัวกลับบ้าน ฉันมองดูลูกชายของฉันวิ่งไปที่รถ กระเป๋าเป้ของเขากระเด้งขณะยิ้ม รู้สึกขอบคุณที่พวกเขาไม่ต้องรีบฝ่าสายฝน
หากฝนตกต่อเนื่อง การเดินทางกลับบ้านคงจะท้าทาย ถนนลื่นและทัศนวิสัยต่ำ แต่เพียงชั่วครู่นั้น โลกก็ดูสดใสขึ้นเล็กน้อย ฉันขอบคุณสำหรับสภาพอากาศที่ผ่อนคลาย และขณะที่พวกเขาขับรถกลับบ้านด้วยกัน ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยวันนี้พวกเขาก็รอดพ้นจากพายุ
Thank you for your support
ขอบคุณสำหรับการโหวต
เลิฟนะยู้ววววววว